Teacher

ข่าวสาร/กิจกรรม

พ่อแม่ยุคใหม่สร้างลูก "ฉลาด" อย่างเดียวไม่พอ

เมื่อก่อนหลายบ้านเคยยึดหลักของการเลี้ยงลูกให้เก่งและเฉลียวฉลาด ซึ่งปัจจุบันพูดได้ว่าไม่เพียงพอแล้วอีกต่อไป เนื่องจากคนเก่งมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการแย่งชิงกัน เพราะสิ่งแวดล้อมรอบข้างมันคอยบีบคั้นและเพิ่มความกดดันให้กับเด็กอยู่ตลอดเวลา จนทำให้เด็กบางคนขาดทักษะการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่น เพราะคิดว่าตัวเองมีความสามารถ โดยไม่จำเป็น ต้องพึ่งพาคนอื่นๆ...

"นพ. อุดม เพชรสังหาร" จิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการสมองเด็ก กล่าวสะท้อนมุมมองในการเปิดงานเทศกาลนิทานในสวนครั้งที่ 7 ว่า คุณพ่อคุณแม่สมัยนี้ให้ความใส่ใจการเลี้ยงดูลูกกันมากขึ้น แต่ลืมให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงทำให้การเลี้ยงดูลูกๆ ไม่มีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องเลี้ยงลูกเพื่อให้สามารถยืนหยัดอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในสังคมให้ได้ สอนให้เขามองโลกในแง่ดี มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ที่สำคัญต้องสอนให้ลูกเผชิญหน้ากับความล้มเหลว ความผิดหวัง และความพ่ายแพ้ด้วย

หลายครั้งพบว่า เด็กบางคนเก่งและมีความสามารถ แต่อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมไม่ได้ เพราะขาดมนุษยสัมพันธ์ที่ดี นพ.อุดม อธิบายว่า เด็กที่เก่งแต่ไม่ดี เด็กคนนั้นอาจกลายเป็นคนโกง จนทำให้คนในสังคมรังเกียจและไม่อยากจะคบค้าสมาคมด้วย แต่ถ้าเป็นคนดีแล้วไม่เก่งก็อาจจะถูกโกงได้ แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังมีเพื่อน เพราะฉะนั้นคนเราต้องมีทั้งความเก่งและความดีอยู่ในตัว ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยในการสอนลูกให้มีคุณสมบัติทั้งสองอย่างนี้

ทั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถหยิบเอาสิ่งของใกล้ๆ ตัว อย่างเช่น หนังสือมาเป็นสื่อในการสอนลูก นอกจากจะปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้กับลูกแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ลูกจะได้รับ คือการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวที่สามารถหาได้จากการใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในแต่ละวัน แถมยังได้ฝึกให้ลูกรู้จักการแบ่งปัน เมื่อเขาเข้าใจเรื่องที่อ่าน เขาก็พร้อมจะถ่ายทอดและเล่าให้คนอื่นฟังต่อๆ ได้อีก

"ทุกๆ ครั้งที่คุณพ่อคุณแม่เล่านิทานหรืออ่านหนังสือให้ลูกฟัง สิ่งแรกที่ลูกจะได้รับ คือ ความรู้เรื่องภาษา เพราะภาษาจะสามารถช่วยในกระบวนการของความจำให้มีประสิทธิภาพ คนที่มีความสามารถทางภาษาจะมีความจำดีกว่าคนอื่น เพราะสามารถจัดเก็บและเรียบเรียงข้อมูลต่างๆ ไว้ในสมองอย่างเป็นระบบ พอถึงเวลาก็สามารถดึงเอาข้อมูลออกมาใช้ได้อย่างง่ายดาย ลองสังเกตดูว่าเด็กที่เข้าใจเรื่องของภาษาจะกล้าสื่อสารกับผู้อื่น และสามารถทำได้ดีมาก ถ้าเด็กมีความจำที่ดี การเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวก็จะดีตามไปด้วย โดยเฉพาะช่วง 5 ปีแรกของชีวิตเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก หากคุณพ่อคุณแม่ไม่ใส่ใจกับช่วงเวลานี้ อาจจะทำให้ลูกขาดการเรียนรู้ที่ดีไป"

นอกจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการสมองเด็กท่านนี้ ยังบอกอีกว่า ตรงกันข้ามกับการปล่อยให้ลูกอยู่กับโทรทัศน์หรือเกมวิดีโอ ที่เป็นสื่อที่เด็กๆ ไม่สามารถโต้ตอบหรือสื่อสารได้ เด็กจึงไม่ได้พัฒนาเรื่องภาษา อีกอย่างมีความเชื่อที่ว่า การสอนให้เด็กเป็นคนดีจะต้องสอนให้เด็กรู้จักผิด รู้จักถูก ซึ่งเป็นแนวทางที่ผิดพลาด เนื่องจากสมองส่วนหน้าของเด็กๆ ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ การตัดสินใจถูกผิดต่างๆ ยังทำได้ไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องที่มันกำกวม เช่น สีเทา ซึ่งเด็กบางคนอาจจะไม่เข้าใจ เพราะมันไม่ใช่สีขาวและไม่ใช่สีดำ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรื่องถูกผิดหรือความดีความชั่วมันจะยังเป็นเรื่องที่ยากเกินสำหรับเด็กเล็ก นพ. อุดม แนะนำว่า คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้นิทานเป็นสื่อในการสอนลูกได้ โดยยกตัวอย่างของตัวละครในเรื่อง หรือพฤติกรรมแบบไหนที่ควรทำหรือแบบไหนที่ควรหลีกเลี่ยง เมื่อเขาเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว การปลูกฝังเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะมันจะเกิดจากความงดงามและความอ่อนโยนของจิตใจ อีกอย่างคุณพ่อคุณแม่ต้องอย่างลืมว่า "คุณธรรมสำคัญกว่าความเก่ง"

ที่มาข้อมูล : ASTV ผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 30 ธันวาคม 2553

ที่มาเว็บ : www.myfirstbrain.com